เมฆรูปเห็ดที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ Raikoke ประเทศรัสเซีย
ที่มา NASA Earth Observatory
ภาพโมนาลิซา (Mona Lisa) ของลีโอนาโด ดา วินชี (Leonardo Da Vinci) รูปปั้นเดวิด (David) ของไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) และภาพเสียงกรีดร้อง (The Scream) ของเอ็ดวาร์ด มุนช์ (Edvard Munch) เป็นงานศิลปะชิ้นเอกที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อมาอย่างยาวนานจนคนส่วนใหญ่คุ้นชิน บทความนี้ ผู้เขียนจะยังไม่กล่าวถึงภาพท่านหญิงลิซาผู้เลอโฉมกับรูปแกะสลักหินอ่อนของเดวิดที่ถูกสรรสร้างในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) แต่จะเล่าเรื่องภาพเสียงกรีดร้องที่มนุษย์คนหนึ่งกำลังแสดงสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด โดยมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีเหลือง ส้ม และแดงสุดแปลกตา นักวิเคราะห์งานศิลปะส่วนหนึ่งเชื่อว่ามุนช์ต้องการสื่อถึง “ฝันร้าย” แต่นักวิทยาศาสตร์บางส่วนเชื่อว่ามุนช์กำลังวาดภาพ “ปรากฏการณ์ธรรมชาติ” ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเบาะแสในการไขปริศนาท้องฟ้าสีสันประหลาดอยู่ที่อีกซีกโลกหนึ่งบนเกาะภูเขาไฟของประเทศอินโดนีเซีย
ภาพ The Scream ของ Edvard Munch
ที่มา National Gallery of Norway
ภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa Volcano) ถือกำเนิดจากแผ่นเปลือกโลกอินเดียและเอเชียเคลื่อนที่มาชนกัน เนื่องจากภูเขาไฟกรากาตัวเงียบสงบมาเป็นเวลานาน ชนพื้นเมืองจึงไม่คาดคิดว่าภูเขาไฟลูกนี้จะแผลงฤทธิ์ กระทั่งวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ.1883 ภูเขาไฟที่นิ่งสงบก็เกิดการปะทุเป็นครั้งแรกในรอบ 200 ปี การปะทุดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากนัก แต่วันที่ 27 สิงหาคม ภูเขาไฟก็เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง แผ่นดินสั่นสะเทือนทั่วเกาะ น้ำทะเลรอบเกาะร้อนขึ้น ไอน้ำ ฝุ่น เถ้าถ่าน เศษวัตถุ และหมอกควันที่เต็มไปด้วยแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) พวยพุ่งสู่ท้องฟ้าในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ (Stratosphere) ก่อนที่เศษวัตถุร้อนระอุจะโปรยปรายลงสู่พื้นดิน การปะทุครั้งใหญ่มีความรุนแรงเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาประมาณ 10,000 ลูก เสียงระเบิดเดินทางผ่านอากาศไปไกลถึง 4,600 กิโลเมตร คลื่นไหวสะเทือน (Seismic Wave) จากแผ่นดินไหวสามารถตรวจจับได้ไกลถึงสหราชอาณาจักร และเกิดคลื่นสึนามิ (Tsunami) ขนาดใหญ่หลายระลอกคร่าชีวิตผู้คนบนเกาะชวาและเกาะสุมาตราไปประมาณ 37,000 คน คลื่นดังกล่าวแผ่กระจายไปไกลถึงประเทศแอฟริกา อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ในฉากสุดท้ายของเหตุการณ์ พื้นที่กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของเกาะก็ถล่มลงสู่แอ่งหินหลอมเหลวและถูกน้ำทะเลทะลักเข้าท่วม เหลือเพียงภูเขาไฟลูกใหม่เรียกว่า อะนัก กรากาตัว (Anak Krakatoa) ซึ่งแปลว่า “บุตรแห่งกรากาตัว” ผลของการระเบิดในครั้งนั้นส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกลดลงเนื่องจากละอองลอยภูเขาไฟ (Volcanic Aerosols) ปริมาณมหาศาลในบรรยากาศบดบังแสงอาทิตย์ส่วนหนึ่งเป็นเวลานานประมาณ 2 ปี
ภาพวาดแสดงการระเบิดของภูเขาไฟกรากาตัว
มีเรื่องเล่าเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งกล่าวว่า กรากาตัว เป็นการออกเสียงที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากหนังสือพิมพ์ของลอนดอนสะกดคำผิด ความจริงแล้วคำดังกล่าวออกเสียงว่า กรากาเตา (Krakatau) ที่แปลว่า “ฉันไม่รู้” ซึ่งอาจหมายความว่าชนพื้นเมืองไม่สนใจว่าภูเขาไฟลูกนี้มีชื่อว่าอะไร แต่เมื่อถูกนักเดินเรือจากต่างแดนถาม พวกเขาจึงตอบว่า “กรากาเตา” ทำให้นักเดินเรือชาวต่างชาติเข้าใจว่า “กรากาเตา” คือชื่อของภูเขาไฟ แล้วภูเขาไฟระเบิดเกี่ยวอะไรกับระเบิดนิวเคลียร์? ผู้อ่านต้องอ่านต่ออีกสักนิดจึงจะทราบคำตอบครับ
เวลาเราดูภาพถ่ายหรือวิดีโอเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II) ซึ่งยุติลงในปี ค.ศ.1945 ด้วยระเบิดนิวเคลียร์ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถูกจุดขึ้นเหนือเมืองฮิโรชิมา (Hiroshima) และนางาซากิ (Nagasaki) ของประเทศญี่ปุ่น ผู้อ่านจะเห็นลูกไฟ (Fireball) และควันของระเบิดที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เพราะเมื่อระเบิดนิวเคลียร์ถูกจุดในระดับใกล้พื้นดิน สิ่งที่ถูกปลดปล่อยออกมาคือความร้อนสูงหลายสิบล้านองศาเซลเซียส คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และรังสี ความร้อนปริมาณมหาศาลจะทำให้วัตถุใกล้เคียงระเหยกลายเป็นไอ รังสีเอกซ์จะเร่งให้อากาศที่อยู่รอบจุดศูนย์กลางการระเบิดร้อนจัดจนขยายตัวออกไปทุกทิศทางเป็นลูกไฟทรงเกือบกลมและคลื่นกระแทก (Shock Wave) อากาศร้อนที่มีความหนาแน่นต่ำจะลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ฝุ่นควันที่ถูกหอบตามขึ้นไปจึงมีลักษณะเป็นแท่งเกือบตรง แต่เมื่อลูกไฟพุ่งสูงขึ้นจนถึงจุดหนึ่งก็จะเย็นตัวลงจนมีความหนาแน่นเท่ากับอากาศ ทำให้หยุดการพุ่งตัวและแผ่ขยายออกไปด้านข้างเนื่องจากความดันอากาศที่แปรผกผันกับความสูง เมื่อสังเกตจากระยะไกลจึงเห็นรูปร่างของการระเบิดมีลักษณะคล้ายเห็ด เมฆที่เกิดขึ้นจึงถูกเรียกว่า เมฆรูปเห็ด (Mushroom Cloud) ซึ่งจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตัวแปรทางอุตุนิยมวิทยาทำให้สารกัมมันตรังสีแพร่กระจายออกสู่สิ่งแวดล้อม โดยสามารถวัดปริมาณรังสีที่ปนเปื้อนมากับน้ำฝนได้ด้วยเครื่องไกเกอร์เคาน์เตอร์ (Geiger Counter)
การทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ The Greenhouse George test ปี ค.ศ.1951
ที่มา Los Alamos National Laboratory
เมฆรูปเห็ดไม่ได้เกิดจากระเบิดนิวเคลียร์เท่านั้น แต่สามารถเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟและการระเบิดที่รุนแรงอื่นๆ ได้เช่นกัน เจ้าเมฆรูปเห็ดนี่แหละที่เป็นกลไกสำคัญในการหอบเอาฝุ่นควันจำนวนมหาศาลให้ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศแล้วแพร่กระจายไปทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งสมมติฐานว่ามุนช์ “อาจ” เคยเห็นท้องฟ้าสีสันประหลาดที่เกิดจากอิทธิพลในการกระเจิงแสง (Light Scattering) ของฝุ่นจากภูเขาไฟกรากาตัวจนเขารู้สึกหวาดกลัวและกลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ภาพวาดชื่อดังในปี ค.ศ.1893
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนอยากบอกว่ายังมีงานศิลปะอีกจำนวนมากที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง หากผู้อ่านสนใจก็ลองหาข้อมูลมาศึกษาดูนะครับ
บทความโดย
สมาธิ ธรรมศร
ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อ้างอิง