ตามหาเพื่อนต่างดาว

12-11-2018 อ่าน 4,129

UFO ถูกสื่อจำนวนมากนำเสนอว่าเป็นจานบินหรือยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว แต่ความจริงแล้ว UFO ย่อมาจาก Unidentified Flying Object มีความหมายว่า วัตถุบินที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ พูดง่าย ๆ ก็คือเวลากล้องหรือเรดาร์ตรวจพบวัตถุบางอย่างที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เราก็เรียกว่า UFO ไว้ก่อน ซึ่งภาพถ่ายแทบทั้งหมดที่ลือกันว่าเป็นจานบินของมนุษย์ต่างดาว ความจริงแล้วมักจะเป็นบอลลูน เครื่องบินรุ่นใหม่ เมฆรูปเลนส์ (Lenticular Cloud) หรือกลุ่มควันรูปวงแหวน (Smoke Vortex Ring) ซึ่งเกิดจากอากาศที่ไหลผ่านช่องเปิดอย่างรวดเร็ว บริเวณกลางช่องเปิดอากาศจะไหลเร็ว ส่วนบริเวณขอบของช่องเปิดอากาศจะไหลช้า แรงต้านของอากาศภายนอกจะทำให้อากาศที่ออกจากปล่องเกิดการหมุนวนเป็นวงแหวน

 


ภาพจาก https://earthscience.stackexchange.com
และ http://www.jsme-fed.org/experiment-e/2013_6/001.html


เหตุการณ์เกี่ยวกับอารยธรรมต่างดาวที่สร้างความตื่นตะลึงจนเป็นข่าวไปทั่วโลกเมื่อหลายสิบปีก่อนคงจะเป็น ใบหน้าบนดาวอังคาร (Face on Mars) เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่ายาน Viking 1 ได้ทำการถ่ายภาพบริเวณหนึ่งบนดาวอังคารที่มีชื่อว่า Cydonia ไว้เมื่อปีค.ศ.1976 แต่ความประหลาดก็คือเนินเขาในภาพถ่ายนั้นดูคล้ายกับใบหน้าของมนุษย์จนน่าตกใจ แต่ภายหลังภาพนั้นก็ถูกถ่ายใหม่ด้วยกล้องที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และพบว่าเนินเขา Cydonia ไม่ได้เป็นรูปหน้าคน แต่สาเหตุที่มองเห็นเป็นรูปหน้าคนเพราะความละเอียดของกล้องสมัยนั้นยังต่ำและมุมตกกระทบของแสงเงาต่างหาก ซึ่งในทางจิตวิทยาเราจะเรียกปรากฏการณ์แบบนี้ว่า Pareidolia
 


บริเวณเนินเขาที่ดูคล้ายใบหน้ามนุษย์บนดาวอังคาร

(ภาพจาก https://science.nasa.gov/science-news/science-at-nasa/2001/ast24may_1)


อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้วงการ ชีวดาราศาสตร์ (Astrobiology) เป็นที่รู้จักมากขึ้น เกิดขึ้นในปีค.ศ.1984 เมื่อมีการค้นพบอุกกาบาตที่มีชื่อว่า ALH84001 จากทวีปแอนตาร์กติกา การวิเคราะห์ในสมัยนั้นพบว่ามีหลักฐานบางอย่างในอุกกาบาตที่คาดว่าน่าจะเป็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตโบราณจากดาวเคราะห์ดวงอื่น อุกกาบาตก้อนนี้จึงตกเป็นประเด็นถกเถียงในแวดวงนักชีวดาราศาสตร์อยู่หลายปี เพราะการค้นพบดังกล่าวสนับสนุนทฤษฎี Panspermia ซึ่งเชื่อกันว่าจุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนโลกอาจมาจากนอกโลก แต่จากการวิเคราะห์อย่างละเอียดในเวลาต่อมาก็พบว่าร่องรอยในอุกกาบาตน่าจะเกิดจากกระบวนการทางธรณีเคมีมากกว่าที่จะเป็นสิ่งมีชีวิต
 


ร่องรอยน่าสงสัยบนอุกกาบาต Allan Hills 84001
(ภาพจาก https://www.lpi.usra.edu/lpi/meteorites/The_Meteorite.shtml)


เมื่อปีค.ศ.1961 นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์นามว่า Frank Donald Drake ได้สร้างสมการพื้นฐานสำหรับคำนวณหาจำนวนอารยธรรมต่างดาวชั้นสูงบนดาวเคราะห์ดวงอื่น (Drake Equation) โดยสมการของเขาประกอบด้วย
N คือ จำนวนอารยธรรมของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกที่สามารถติดต่อสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุผ่านอวกาศได้
R* คือ อัตราการก่อตัวของดาวฤกษ์ที่มีสภาวะเหมาะสมต่อการเกิดสิ่งมีชีวิตในระบบดาวเคราะห์
fp คือ เศษส่วนของดาวฤกษ์ที่มีระบบดาวเคราะห์
Ne คือ จำนวนดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่เอื้ออำนวยต่อสิ่งมีชีวิต
fl คือ เศษส่วนของดาวเคราะห์ที่สิ่งมีชีวิตสามารถเกิดขึ้นได้
fi คือ เศษส่วนของดาวเคราะห์ที่สามารถมีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา
fc คือ เศษส่วนของอารยธรรมทรงปัญญาที่สามารถทำการติดต่อสื่อสารผ่านอวกาศได้
L คือ ระยะเวลาในการดำรงอยู่ของอารยธรรมทรงปัญญาที่สามารถตรวจจับสัญญาณสื่อสารในอวกาศได้
 


สมการของเดรก (Drake Equation)
https://www.seti.org/drake-equation-index


หากพิจารณาตัวแปรต่าง ๆ ในสมการ เราจะพบว่าการที่อารยธรรมของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยตัวแปรทางดาราศาสตร์ ตัวแปรทางชีววิทยา และตัวแปรทางสังคมวิทยา นั่นคือเราต้องค้นหาดาวฤกษ์ที่มีมวลเหมาะสม ไม่มากและไม่น้อยเกินไป เพราะหากดาวฤกษ์มีมวลมาก มันจะเผาผลาญเชื้อเพลิงนิวเคลียร์อย่างรวดเร็วและสิ้นอายุขัยในเวลาอันสั้นจนสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ไม่มีเวลามากพอที่จะวิวัฒนาการ หากดาวฤกษ์มีมวลน้อยเกินไป มันก็อาจมีอุณหภูมิต่ำจนแผ่พลังงานมาไม่ถึงดาวเคราะห์


เมื่อเราได้ดาวฤกษ์ที่มีมวลและอายุขัยที่เหมาะสมแล้ว ดาวฤกษ์ดวงนั้นต้องมีดาวเคราะห์ที่อยู่ไม่ใกล้และไม่ไกลเกินไปเพื่อให้น้ำซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตอยู่ในสถานะของเหลว (Habitable Zone) หากเราต้องการมองหาดาวเคราะห์ที่อาจมีสิ่งมีชีวิตที่มีโอกาสวิวัฒนาการสูง องค์ความรู้ในปัจจุบันบอกเราว่าต้องมองหาดาวเคราะห์ที่คล้ายกับโลก เพราะโลกมีสนามแม่เหล็กคอยปกป้องอันตรายจากรังสีคอสมิก มีชั้นบรรยากาศ มีน้ำ และธาตุที่เอื้อต่อการพัฒนาของสิ่งมีชีวิต
สมมุติว่าสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมีวิวัฒนาการจนมีสติปัญญา ปัจจัยทางสังคมวิทยาก็จะเข้ามามีบทบาท หมายความว่าสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์นั้นต้องมีเทคโนโลยีที่สูงพอจนสามารถติดต่อสื่อสารด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าผ่านอวกาศได้ และต้องดำรงเผ่าพันธุ์ให้รอดพ้นจากสงครามหรือหายนะต่าง ๆ ได้ด้วย อย่างไรก็ตาม แม้วิธีในการสร้างสมการของเดรกจะมีความน่าเชื่อถือสูง แต่เราจะเห็นได้ว่าปัญหาใหญ่ของสมการนี้คือตัวเลขที่เกิดจากการประมาณค่า เพราะหากสมมุติให้ตัวแปรตัวใดตัวหนึ่งมีค่าเปลี่ยนไป ผลลัพธ์ของสมการก็อาจให้ค่าที่แตกต่างกันมากตั้งแต่ไม่กี่สิบจนถึงหลายล้านนั่นเอง


นักดาราศาสตร์ต่างสรรหาวิธีต่าง ๆ ในการสื่อสารกับอารยธรรมต่างดาว เช่น เคยทำการส่งข้อมูลเกี่ยวกับโลกมนุษย์ออกไปยังอวกาศในรูปของแผ่นเสียงบนยาน Voyager ในปีค.ศ.1977 และส่งสัญญาณข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์วิทยุ Arecibo ในปีค.ศ.1974 รวมถึงมีการก่อตั้งองค์กร SETI (Search for Extra-Terrestrial Intelligence) เพื่อศึกษาสิ่งมีชีวิตและรับฟังสัญญาณจากนอกโลก แม้ว่าองค์กรดังกล่าวจะไม่เคยได้รับสัญญาณจากต่างดาวเลยสักครั้งจวบจนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการมีส่วนร่วมในภารกิจของ SETI คุณสามารถดาวน์โหลดโปรแกรม SETI@home มาใช้ในคอมพิวเตอร์ของคุณได้

   
Golden Record ที่ถูกส่งไปพร้อมยาน Voyager และรูปแบบข้อความจากกล้อง Arecibo
(ภาพจาก https://voyager.jpl.nasa.gov/golden-record/
และ https://www.seti.org/seti-institute/project/details/arecibo-message)


ทุกวันนี้ นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบ (Exoplanet) แล้วกว่า 3,800 ดวง หลายดวงในจำนวนนั้นคาดว่าสิ่งมีชีวิตน่าจะอาศัยอยู่ได้ แต่ปัญหาคือดาวเคราะห์นอกระบบอยู่ไกลเกินไปที่จะส่งยานอวกาศไปสำรวจ เป้าหมายการสำรวจจึงตกมาอยู่ที่ดาวอังคารซึ่งคาดว่าในอดีตเคยมีสภาพใกล้เคียงกับโลก จากข้อมูลของยาน MAVEN (Mars Atmosphere and Volatile Evolution) ซึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์สภาพชั้นบรรยากาศและสนามแม่เหล็กของดาวอังคาร พบว่าชั้นบรรยากาศส่วนใหญ่ของดาวอังคารได้หายไปจากการพัดกร่อนของลมสุริยะ (Solar Wind Erosion) ทำให้พื้นผิวของดาวอังคารแห้งแล้ง อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลจากยาน Mars Reconnaissance Orbiter และหุ่นยนต์ Curiosity ของ NASA รวมถึงยาน Mars Express ของ ESA ว่ามีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าบนพื้นผิวของดาวอังคารมีร่องรอยการไหลของน้ำ และใต้ผิวดินก็อาจจะมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้วย ซึ่งนั่นอาจเป็นสถานที่แห่งความหวังในการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร
 


ภาพร่องรอยการไหลของน้ำบนดาวอังคาร โดย NASA
(ภาพจาก https://www.nasa.gov/press-release/nasa-confirms-evidence-that-liquid-water-flows-on-today-s-mars)


นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยยังเชื่อว่า “น่าจะมี” สิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่น และยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะค้นหาต่อไป เพราะคำตอบของบางคำถาม อาจไม่ใช่คนในยุคสมัยเราที่จะเป็นผู้ตอบ เราเป็นได้เพียงผู้ถามและผู้เบิกทาง ส่วนผู้ที่จะมาตอบคำถาม อาจเป็นคนในรุ่นลูกของเรา หลานของเรา หรือเหลนของเรา ตราบใดที่ผู้คนยังคงสงสัยและไขว่คว้าหาคำตอบ คำตอบของคำถามจะต้องปรากฏขึ้น ณ วันใดวันหนึ่งในอนาคตอย่างแน่นอน

 

เรียบเรียงโดย

สมาธิ ธรรมศร
ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์



อ้างอิง